บทความที่ได้รับความนิยม

วันพุธที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2559

Shrek เคยมีตัวตนอยู่จริง


“Shrek” เคยมีตัวตนอยู่จริง
พบกับเรื่องราวชีวิตของเขาที่คุณไม่เคยรู้...
การ์ตูนเรื่อง เชร็ค (Shrek) เป็นการ์ตูน Animation
ของ Dreamwork
ซึ่งออกฉายเมื่อ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2544 ภาพยนตร์ได้รับรางวัลออสการ์ สาขาภาพยนตร์แอนิเมชันยอดเยี่ยม ซึ่งตัวเอกจะเป็นตัวการ์ตูนตัวเขียวๆ มีเพื่อนซี้คือลา และ มีภรรยาเป็นเจ้าหญิงภายหลังพบว่านางตัวเขียวเหมือนกัน ซึ่งเป็นที่น่าตกใจมาก เมื่อพบว่าเชร็คนั้นเคยมีตัวตนมาก่อนจริงๆ

เป็นมนุษย์เหมือนกับเราทั่วไป (ไม่ได้ตัวเขียวนะ) ถือได้ว่าเขาคนนี้คือมนุษย์ต้นแบบ ในการสร้างการ์ตูนเรื่องเชร็คนั่นเอง เขามีชื่อว่า Maurice Tillet
เป็นนักมวยอาชีพจากฝรั่งเศษ เกิดเมื่อปี 1903 ในสมัยที่ยังเป็นเด็กเขามีใบหน้าที่หล่อเหลามาก จึงได้รับฉายาว่า Angel อีกทั้งยังเป็นคนหัวดี สามารถพูดได้ถึง 14 ภาษา และสามารถเล่นหมากรุกได้เก่งกาจ

สามารถเรียนจบปริญญากฏหมายได้เลยทีเดียว แต่เมื่ออายุได้ 20 ปี ร่างกายของเขาก็เกิดอาการผิดปกติ กระดูกของเขามีขนาดโตขึ้นกว่ามนุษย์ปกติ จึงทำให้ใบหน้าและร่างกายของเขาผิดแปลกไป
เขามักจะโดนล้อเรื่องนี้อยู่เป็นประจำในชั้นศาล 
จึงตัดสินใจย้ายไปอยู่สหรัฐอเมริกา เขาไม่ได้เกิดความรู้สึกท้อ หรือ โทษฟ้าดิ้น ใดๆเลย เขากลับใช้ร่างกายผิดปกตินี่แหละหาเงิน

โดยการเป็นนักมวยปล้ำอาชีพ ที่มีสถิติขึ้ชกไม่เคยแพ้ติดต่อกันถึง 19 เดือน สื่อทุกสำนักต่างพากันทำข่าวของเขา ทำให้เขามีชื่อเสียงโด่งดังสุดๆ และในปี 1953 เขาก็เสียชีวิตจากโรคหัวใจวาย เพื่อนสนิทของเขาที่เป็นนักประติมากรรม จึงได้สร้างรูปปั้นของเขาเพื่อให้คนรุ่นหลังได้รู้จัก และ ชื่อของเขาก็จะได้คงอยู่ตลอดไป

การทดลองลึกลับ จับคนขังไว้ในโดม 2 ปี ห้ามติดต่อโลกภายนอก


😨เผยการทดลองสุดแปลก!
จับคนขังไว้ในโดม 2 ปี ห้ามติดต่อโลกภายนอก"
มนุษย์แต่ละคนล้วนมีความต้องการแตกต่างกัน แต่ดูเหมือนหนุ่มรายนี้จะต้องการในสิ่งที่ผิดแปลกเป็นพิเศษเพราะเขายอมขังตัวเองอยู่ในสถานีวิจัยลับกลางทะเลทรายนานกว่า 2 ปี เพื่อเฝ้าทดลองบางสิ่งที่เปลี่ยนชีวิตเขาไป

👉Roy Walford คือชายคนนั้น เขาคือนักเขียน นักแสดง และนักวิทยาศาสตร์ที่มุ่งมั่นหาคำตอบเกี่ยวกับวิธีการยืดอายุไขด้วยวิธี Caloric Restriction (การกินอาหารในปริมาณน้อยลง ซึ่งเชื่อว่าอาจนำไปสู่การกระตุ้นเอนไซม์ Sirtuin ที่จะทำให้กลไกในร่างกายมนุษย์ปรับตัวและเกิดการเสื่อมถอยช้าลง) 

จนกระทั่งปี 1990 เขาได้มีส่วนไปข้องเกี่ยวกับสถานีวิจัย Biosphere 2 ที่ตั้งอยู่กลางทะเลทรายทางตอนเหนือของ Tucson และนักวิทยาศาสตร์ที่นั่นมีโปรเจคที่ฟังดูบ้าระห่ำให้หนุ่มคนนี้เข้าร่วม โดย Biosphere 2 เป็นที่รู้จักกันในฐานะสถานีวิจัยอวกาศบนพื้นโลก ที่มุ่งมั่นศึกษาหาความรู้ด้านแปลกๆ ที่อาจก่อให้เกิดประโยชน์ในอนาคต และที่นี่ได้ทำการจำลองสภาพโครงสร้างทางชีวภาพของโลกขึ้นมา อาทิมีป่าชื้น หรือแอ่งน้ำ ทั้งนี้ทุกสิ่งจะถูกปกคลุมไว้ด้วยโดมปิดทึบ ซึ่งอาสาสมัครที่จะเข้าทดลองโปรเจคนี้ จะต้องอาศัยอยู่ภายในโดมนั้นนาน 2 ปี ห้ามออกมาภายนอก ส่วนอากาศในตัวโดมก็จะเกิดจากการไหลเวียนภายใน หรือพูดง่ายๆว่าไม่มีสิ่งใด (แม้กระทั่งอากาศ) จากภายนอก สามารถเล็ดลอดเข้าไปในโดมปริศนานั้นได้เลย

👉ตอนนั้น Roy Walford ได้สมัครโปรเจคนี้ในตำแหน่ง “หัวหน้าทีมแพทย์” และเขามีผู้ร่วมเผชิญชะตากรรมในโดมลับอีก 7 ราย เขาให้สัมภาษณ์ก่อนเข้าไปว่า “ผมคิดว่ามันมีประโยชน์นะ กับการเอาชีวิตตัวเองไปเสี่ยงกับสิ่งน่าทึ่ง”

😐แต่เขาแทบไม่รู้เลยว่าในเวลาต่อมาโดมแห่งนั้นจะพลิกชีวิตเขาไป ในระยะแรกที่ทุกคนเข้าโดม ทุกๆคนจะได้สวมชุดอวกาศคล้ายในภาพยนต์เรื่อง Star Trek อาหารการกินทุกอย่างยังสมบูรณ์ ผู้ทดลองทุกคนช่วยกันปลูกผลไม้หรือผักหลากชนิด อาทิ กล้วย พวกเขาอาศัยอยู่ในนั้นราวกับเป็นบ้านหลังใหม่ พวกเขาไม่สามารถติดต่อกับโลกภายนอกได้และทำได้เพียงใช้ชีวิตอยู่ในนั้น บางวันพวกเขาก็หากินกับปลาที่ถูกปล่อยทิ้งไว้ในแหล่งน้ำ อย่างไรก็ตามเมื่อเวลาผ่านไปนานขึ้น 

ผู้เข้าทดลองก็ค้นพบว่าอาหารภายในโครงสร้างจำลองนี้ผลิตได้ไม่ทันความต้องการ หรือจะบอกว่าอดอยากก็ว่าได้ แต่ในฐานะที่ Walford ดำรงตำแหน่งทีมแพทย์ เขาจึงตัดสินใจทดสอบเรื่อง Caloric Restriction (ควบคุมอาหาร) กับทุกคน รวมทั้งตัวเขาโดยเขาเรียกมันว่า “การอดอยากแบบปล่อยไปตามธรรมชาติ (healthy starvation)” และสั่งให้ทุกคนกินแค่ผลไม้ อาทิ กล้วย,มะละกอ,ถั่ว หรือเนื้อไก่
ที่มีเพียงน้อยนิดประทังชีวิต

10 เปอร์เซ็นต์ของปริมาณแคลอรี่ของผู้ทดลองมาจากไขมันเท่านั้น และทุกคนได้รับอนุญาติให้กินเนื้อสัตว์เฉพาะวันอาทิตย์ (1 ครั้งต่อสัปดาห์)ตอนนั้นทุกคนน้ำหนักลดฮวบฮาบราวกับนักซูโม่ที่นั่งอยู่ในห้องอบไอน้ำ บางคนซูบลงไปถึง 26 กิโลกรัมในพริบตา
Poynter หนึ่งในผู้ทดลองให้สัมภาษณ์ว่า “ตอนนั้น Roy Walford ดูตื่นเต้นมากกับสิ่งที่เกิดขึ้น เพราะทั้งชีวิตเขาฝันว่าอยากจะทำสิ่งเหล่านี้” แต่ในท้ายที่สุดการทดลองกว่า 2 ปี ก็สิ้นสุดลง ท่ามกลางสภาพความอดอยากนั้น

👉พวกเค้าค้นพบอะไร? นั่นคือคำถามที่หลายคนสงสัย และคนกลุ่มนี้คิดว่าวิถีชีวิตในโดมนี้สามารถนำไปปรับใช้กับการอาศัยอยู่บนดาวอังคารได้ แต่แล้วก็เกิดเรื่องไม่คาดฝันกับชีวิตของ Walford โดยหลังจากที่ออกมาเขาดูโทรมและแก่ลงอย่างเห็นได้ชัด และเมื่อเวลาผ่านไป 6 เดือนหลังจากออก Biosphere 2 มา เขาก็เริ่มมีอาการซึมเศร้า รู้สึกปวดร้าวที่หลัง และเริ่มเดินได้ยากขึ้น

👉จนกระทั่งอาการร้ายเหล่านี้พัฒนาแรงขึ้น ซึ่งเขาประสบกับภาวะ “Freezing” ที่จู่ๆเขาก็หยุดเดินดื้อๆ แล้วร่างก็ทรุดลงไปเองโดยอัตโนมัติ และนั่นทำให้เขาต้องใช้ไม้ค้ำนับตั้งแต่นั้นมา อย่างไรก็ตามในวันที่เขาถูกเชิญไปออกรายการทีวีเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ของอเมริกา เขาก็ยืนยันหนักแน่นว่า
“การศึกษา Caloric Restriction ในโดมแห่งนั้นจะทำให้อายุผมยืนยาวขึ้น อาจอายุสักประมาณ 110 ปี เหมือน Suzanne Somers”
แต่ความจริงก็คือบางทีสิ่งที่เขาพยายามศึกษาอาจเป็นเรื่องผิดพลาด เพราะในเวลาต่อมาเขาก็กลายเป็นโรค Lou Gehrig’s disease (โรคเซลล์ประสาทนำคำสั่งเสื่อม) ซึ่งนั่นทำให้ร่างกายของเค้าค่อยๆพัง ก่อนที่จะตายในปี 2004…ซึ่งการตายของเค้าก็ได้ทิ้งคำถามไว้มากมายว่า Biosphere 2 ได้มอบบทเรียนใดให้แก่มนุษยชาติกันแน่? Caloric Restriction เป็นวิธีที่ได้ผลจริงหรือ? แล้วการทดลองนั้นคุ้มค่าจริงหรือไม่?

ทาร์แรร์ มนุษย์ผู้กินไม่เคยอิ่ม


"ทาร์แรร์ มนุษย์ผู้กินไม่เคยอิ่ม"
ไม่มีใครชอบความหิวเพราะมันจะทำให้คุณรู้สึกกระวนกระวายใจมึนหัวหงุดหงิด พร้อมกับเสียงท้องร้องที่ชวนให้คุณหมดแรง...

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในศตวรรษที่ 18 ทหารชาวฝรั่งเศษคนนึงมีชื่อเสียงในด้านการกินอาหารราวกับดูดมันเข้าไป เขาสามารถกินอาหารได้ปริมาณมหาศาลขนาดพอเลี้ยงคนทั้งกองทัพ เขาสามารถกินได้ตลอดเวลาทั้งวัน โดยเขาไม่เคยรู้สึกอิ่มเลย 

"ทาร์แรร์" เกิดในครอบครัวชาวนาในปี 1772 เขาถูกไล่ออกจากบ้านตอนช่วงวันรุ่นเพราะครอบครัวไม่สามารถตอบสนองความอยากอาหารของเขาได้ ต่อมาเขากลายเป็นนักแสดงที่สร้างความประทับใจให้ผู้คนด้วยความสามารถกลืนกินได้ทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นช้อน ส้อม เครื่องมือต่างๆ แม้กระทั่งสิ่งมีชีวิต ในระหว่างสงครามเขาได้เข้าร่วมในกองทัพปฏิวัติฝรั่งเศส 

แต่ปัญหาคืออาหารของกองทัพไม่เคยทำให้เขาพึงพอใจเลยจนกระทั่งเจ้าหน้าที่คนหนึ่งตัดสินใจใช้ความสามารถของเขาให้เกิดประโยชน์ เจ้าหน้าที่ขอให้เขากลืนเอกสารต่างๆ ข้ามพรมแดนศรัตรูและส่งข้อความผ่านทางอุจจาระของเขา แต่น่าเสียดายที่เขาถูกจับโดยทหารของปรัสเซียแต่ภารกิจครั้งแรกของเขาจากนั้นเขาก็ถูกนำไปขัง ทุบตี และทนทุกข์กับความหิวโหย 

จนเขาถูกนำตัวไปทดสอบทางการแพทย์ ทางแพทย์เองพยายามทดลองทุกอย่างเพื่อทำให้เขาอิ่ม แต่ไม่เป็นผลมีเรื่องเล่าว่า "ทาร์แรร์" ต้องแอบไปรอบๆ โรงพยาบาลเพื่อไปดื่มเลือดของผู้ป่วยคนอื่นในตอนกลางคืนจนถึงขั้นถูกกล่าวหาว่าเขาแอบไปกินทารกคนหนึ่งและหลบหนีไปจนกระทั่ง 4 ปีต่อมา เขาเสียชีวิตด้วยโรคขาดอาหารที่แวร์ซาย โชคไม่ดีที่ "ทาร์แรร์" เกิดมาผิดยุคไปหน่อย ถ้าเกิดมาในยุคปัจุบันนี้ล่ะก็ เขาคงจะได้เป็นแชมป์กินจุในทีวีแชมป์เปี้ยนแน่นอน

วันอังคารที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2559

มนุษย์กินคนที่มีอยู่จริงบนโลก


มนุษย์กินคนที่มีอยู่จริงบนโลก ไม่อยากตายกลายเป็นอาหาร อย่าไปที่เหล่านี้เด็ดขาด...
มนุษย์กินพืชและสัตว์เป็นอาหารเพราะถือว่าเป็นแหล่งอาหารที่ถูกต้อง ดังนั้นการกินเนื้อมนุษย์ด้วยกันเองจึงถือว่าเป็นสิ่งที่ผิด แปลกประหลาด และไม่เหมาะสม แต่จะอย่างไรก็ไม่ได้แปลว่าไม่มีมนุษย์กินคนอยู่บนโลก เพราะนี่คือ 9 เรื่องราวของมนุษย์กินคนที่มีอยู่จริงบนโลกและหลายคนอาจไม่เคยได้ยินมาก่อน ดังนั้นถ้าจะเดินทางไปที่นี่ควรเช็คข้อมูลให้ดีก่อน ไม่งั้นคุณอาจตายกลายเป็นอาหารได้

1. The Naihehe Caves - Sigatoka, Fiji
นานมาแล้วฟิจิเคยถูกขนานนามว่า "เกาะมนุษย์กินคน" แต่แล้วในศตวรรษที่ 19 ชนเผ่าบนเกาะที่เป็นชนเผ่ามนุษย์กินคนก็หมดไป เหลือเพียง Naihehe Caves เป็นที่สุดท้ายที่เหลืออยู่บนเกาะ

2. ปาปัวนิวกินี
Korowai เป็นชนเผ่าที่อาศัยอยู่ตามแนวแม่น้ำ Korowai ทางตะวันตกของนิวกินี โดยเชื่อกันว่าชนเผ่านี้กินคนในเผ่าเพื่อเป็นการแก้แค้นและสมาชิกในเผ่าก็มักจะหายไปอย่างลึกลับ

3. แม่น้ำคงคา, อินเดีย
แม่น้ำคงคาในประเทศอินเดียมี Aghori เป็นพระนิกายหนึ่งเมื่อทำการตรัสรู้แล้วพวกเขาก็จะกินเนื้อคน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการปฎิบัติทางจิตวิญญาณ

พวกเขาจะดื่มน้ำจากถ้วยชามที่สร้างขึ้นจากกะโหลกศีรษะมนุษย์ แต่พวกเขาเป็นมนุษย์กินคนที่แตกต่างออกไปเพราะพวกเขาจะไม่ฆ่าคน แต่จะกินเนื้อคนจากศพนั่นเอง

4. คองโก
ในการประชุมสหประชาชาติเมื่อปี 2003 หลังจากสงครามคองโกครั้งที่ 2 Sinafasi Makelo ตัวแทนของ Mbuti Pygmies อ้างว่าคนของเขาถูกกินทั้งๆ ที่ยังมีชีวิตอยู่โดยพวกกบฎคองโกในจังหวัด Ituri
เพิ่มคำอธิบายภาพ
5. ไลบีเรีย
สมาชิกแพทย์ไร้พรมแดนค้นพบหลักฐานเกี่ยวกับการกินเนื้อคนไม่นานหลังจากเหตุการณ์สงครามกลางเมืองในไลบีเรีย และพวกเขาได้ส่งหลักฐานต่างๆที่พบไปให้องค์การนิรโทษกรรมสากลเพื่อทำการสอบสวน

6. กัมพูชา
ทหารกัมพูชาที่อยู่ในภาพถูกกล่าวหาว่า ตัดตับและหัวใจของทหรเขมรแดงที่ถูกฆ่าตายในเหตุการณ์กบฏเขมรแดงเมื่อปี 1970 จากนั้นพวกเขาก็นำชิ้นส่วนอวัยวะเหล่านั้นกลับไปทำอาหารกินที่บ้าน

7. Nuku Hiva, French
เมื่อ Stefan Ramin ไปเยือนเกาะ Nuku Hiva กับแฟนสาวของเขา พวกเขาทั้งสองก็ตัดสินใจจ้างไกด์ล่าสัตว์นำเที่ยว แต่ต่อมากลับมีคนพบซากศพของเขาใกล้กับแคมป์ไปโดยเชื่อกันว่าเป็นฝีมือของมนุษย์กินคน
ปรากฎว่าเป็นฝีมือของไกด์ของเขา ซึ่งหลังจากที่ไกด์จัดการฆ่า Ramin แล้วเขาก็กลับมาจัดการกับแฟนสาวของเขา โดยเขาผูกเธอไว้กับต้นไม้ แต่โชคดีที่เธอหลบหนีมาได้ ทำให้รู้ความจริงว่าแท้จริงแล้วไกด์คนนั้นเป็นสมาชิกของเผ่ากินคนนั่นเอง

8. Rotenburg, เยอรมัน
Armin Meiwes ตั้งแต่ตอนเด็กเขามีความใฝ่ฝันว่าอยากจะฆ่าและกินเนื้อคน และในที่สุดความฝันของเขาก็เป็นจริง หลังจากเขาแชทและโพสต์โฆษณามองหาอาสาสมัคร และอาสาสมัครคนนั้นคือ Bernd Brandes ชายวัย 43 ปี ทั้งคู่กินอาหารค่ำกัน จากนั้น Meiwes ก็ใช้มีดขนาด 12 นิ้วแทง Brandes ทั้งยังถ่ายคลิปวิดีโอบันทึกเหตุการณ์ทั้งหมดไว้อีกด้วย หลังจากนั้นเขาก็ถูกจับกุมและตั้งข้อหาฆาตกรรม

9. ไมอามี่, ฟลอริด้า
Ronald Poppo ชายที่ได้รับบาดเจ็บอย่างรุนแรงที่ใบหน้า หลังจากที่เขาถูกคนเปลือยกายคนหนึ่งพยายามจะกินใบหน้าของเขาบนทางด่วนฟลอริด้า โดยมนุษย์กินคนคนนั้นถูกระบุว่าคือ Rudy Eugen และเขาก็ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจยิงตายหลังจากปฏิเสธข้อหาและพยายามหลบหนีการจับกุม

รายการบล็อกของฉัน

 hellomanman  happy-topay  invite-buying
 men-women-apparel diarylovemanman news-the-world
 homemanman alovemanman
 menmen-love
 ghost-in-manman  U.F.O.manman fishmanman
foodmanman  flowermanman herbs-in-manman
devilmanman herbs-in-manman manman clip